ทำลายตัวเอง เพราะมีลูกรัก !

เซาธ์เกต กับการเข้ามาคุมทีมชาติอังกฤษ

การเข้ามาคุมทีมชาติอังกฤษ ของ เซาธ์เกต เคยถูกวิจารณ์ตั้งแต่วันแรกว่าบารมีไม่ถึง และจะอยู่ได้ไม่นาน แต่ผลงานการคว้าอันดับ 3 ในศึกฟุตบอลโลก 2018 และรองแชมป์ยูโร 2020 ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่ทำให้เสียงวิจารณ์หายไป อีกทั้งนักเตะก็มีชื่อเสียงโด่งดัง จากการถูกเรียกตัวเข้ามาติดทีม แต่เมื่อนักเตะเหล่านั้นเริ่มโรยลาและฟอร์มตก เซาธ์เกตก็ยังเรียกมาติดทีม นั่นจึงทำให้เสียงวิจารณ์กลับดังก้อง และมีความเสี่ยงว่านี่จะเป็นการเลื่อยขาเก้าอี้ของตัวเอง ทั้งๆที่ใช้เวลาเพียรสร้างตั้งนานหลายปี

ในศึกฟุตบอลโลก 2018 และฟุตบอลยูโร 2020 ปฏิเสธไม่ได้ว่าเซาธ์เกต ค้นพบทีมที่ลงตัว ไล่ตั้งแต่ตำแหน่งผู้รักษาประตูอย่าง พิคฟอร์ม กองหลังมี แมค์ไกวร์ กับ จอห์น สโตน กองกลางมี คาวิน ฟิลลิปส์, เฮนเดอร์สัน, ซานโช่, เม้าส์ และรายอื่นๆเวียนเข้ามา ขณะที่แนวรุกมี แฮร์รี่ เคน, ราฮีม สเตอริ่ง, แรชฟอร์ด และ โฟเด้นส์ ซึ่งจากที่ยกตัวอย่างมาคราวๆนี้ ถือเป็นขุมกำลังหลักที่ทำให้ทีมชาติอังกฤษ มีผลงานที่ดีในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ แล้วสิ่งที่ตามมา คือเซาธ์เกต มีความชอบธรรมที่จะได้ทำงานต่อ นักเตะมีชื่อเสียงและถูกซื้อตัวจากทีมใหญ่

ตามวงจรธรรมชาติของทีมฟุตบอล เมื่อรวมทีมกันได้ราว 3-5 ปี ย่อมต้องมีการถ่ายเลือด โดยลักษณะของทีมชาติ คือ การเรียกนักเตะหน้าใหม่ หรือนักเตะฟอร์มดีเข้ามาแทน แต่สิ่งที่ เซาธ์เกต ทำ คือ เชื่อมั่นในนักเตะชุดเดิม และเรียกตัวเดิมๆกลับมาติด ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร เว้นเสียว่าเรียกนักเตะฟอร์มตก หรือนักเตะที่หมดสภาพมาร่วมทีม สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้

การเรียกนักเตะชุดเดิม อาจจะมีคนเปรียบเทียบกับกรณีของ ทีมชาติโครเอเชีย ที่ยังใช้ตัวผู้เล่นชุดเดิมและมีผลงานที่ดีเกือบทุกทัวร์นาเมนต์ แม้อายุนักเตะกว่าค่อนทีมจะมีอายุ 30+ ซึ่งปัจจัยหลัก คือ ความเข้าขาและรู้ใจกันของนักเตะ ที่ถูกสั่งสมมาเป็นระยะเวลานาน แล้วเซาธ์เกต ก็น่าจะมีมุมมองแบบนี้ แต่ผลเสียที่จะตามมา มันอาจจะเสียหายในระยะยาว เพราะหากทีมฟุตบอลไม่ยอมถ่ายเลือด สุดท้ายก็ต้องเทเลือดทิ้ง แล้วตั้งต้นกับเลือดถุงใหม่อยู่ดี

ฉะนั้นเมื่อมองอนาคตของเซาธ์เกต เจ้าตัวอาจจะพาทีมทำผลงานได้ดี ในทัวร์นาเมนต์ระยะใกล้ แต่เมื่อใดที่ทีมต้องใช้นักเตะใหม่ทั้งหมด ความเสี่ยงที่จะต้องปรับจูนทีมในระยะเวลาที่ยาวนาน อาจเป็นปัจจัยให้เก้าอี้กุนซือพังลงก็ได้