“เข้าชิงครั้งแรกในรอบ 55 ปี” อังกฤษ ต่อเวลาเฉือน เดนมาร์ก จากจุดโทษ 2-1

บอลยูโร 2020

ศึกฟุตบอลยูโร 2020 รอบรองชนะเลิศ คู่ที่ 2 ซึ่งนับเป็นอีกคู่บิ๊กแมตช์ เพราะเป็นการพบกันระหว่าง ทีมชาติอังกฤษ ที่ไม่เคยเช้าชิงรายการไหนมา 55 ปีแล้ว กับ ทีมชาติเดนมาร์ก ที่อยากจะคว้าแชมป์อีกสักครั้ง หลังจากเคยทำได้เมื่อ 29 ปีก่อน

ขณะที่ผังการเล่น สิงโตคำราม ยืนระบบ 4-2-3-1 ส่วนทางฟากขุนพลนมโค ติดใจระบบ 3-4-3 อย่างต่อเนื่อง

เกมในครึ่งแรก ทีมชาติอังกฤษ สามารถยืนดักบอลและบุกไปถึงแดนสุดท้ายของคู่แข่งได้ แต่แนวรับของทีมชาติเดนมาร์ก สามารถต้านทานไว้ได้ จากนั้นเมื่อเกมผ่านไปราว 15 นาที ขุนพลโคนมก็สามารถเล่นเกมของตัวเองได้ด้วยการเข้าหาบอลเร็ว พร้อมกับบีบสูงให้คืนหลัง ถึงกระนั้นประตูขึ้นนำของพวกเขามาจากลูกฟรีคลิกที่น้ำหนักดี ทิศทางไม่ค่อยดี แต่ พิคฟอร์ด ดันปฏิกิริยาช้าเอง

แต่การได้ประตูนำไปก่อนกลับกลายเป็นว่า ทีมชาติเดนมาร์ก เสียสมาธิในการป้องกัน ทำให้โดนนวดแปบเดียวก็มาเสียประตูตีเสมอ อีกทั้งยังโดน ทีมชาติอังกฤษ กลับมาขึงบุกต่อจนจบครึ่งแรก

ครึ่งหลังทั้ง 2 ทีม พยายามเปิดหน้าเพื่อแลกใส่กัน แต่หากเทียบความหนักหน่วง ทีมชาติเดนมาร์ก ดูเป็นรอง เพราะไม่สามารถเจาะพื้นที่เขตโทษของ ทีมชาติอังกฤษ ได้ จากนั้นแท็กติกฆ่าตัวเองก็ดันมาเกิดกับขุนพลนมโค เพราะ ฮยูลมันด์ เลือกเปลี่ยนตัวรุกรวดเร็ว 3 คน ทำให้หลังจากนั้น แชมป์ยูโร 1992 บุกไม่ขึ้นอีกเลย อีกทั้งยังทำได้แต่ตั้งรับเท่านั้น 

ช่วงต่อเวลา ทีมชาติอังกฤษ เปิดหน้าแลกเต็มที่ เพราะไม่อยากยื้อไปถึงช่วงดวลจุดโทษ แต่แล้วจุดโทษแบบน่ากังขาก็ช่วยให้สิงโตคำราม ขึ้นนำ แม้จะยิงดาบแรกติดเซฟ แต่บอลก็เป็นใจให้ เคน วิ่งเข้ามาซ้ำ จากทีมชาติอังกฤษ ก็ปรับมาเล่นหลัง 3 เพื่อปิดเกมจนครบ 120 นาที

บทสรุปจากเกม ทีมชาติอังกฤษ มีแผงหลังที่หนาแน่น จนทำให้เกมบุกสามารถเล่นได้อย่างสบาย แต่หากไม่มีจุดโทษช่วยไว้ ก็จะยื้อไปถึงจุดโทษแน่ๆ ส่วนที่เห็นว่าน่าตำหนิ คือ ผู้รักษาประตูที่ออกบอลพลาดบ่อย ขณะที่ทางฟากทีมชาติเดนมาร์ก ผู้รักษาประตูกับกองหลัง สามารถยืนตำแหน่งและช่วยกันซ้อนได้ดีเยี่ยม แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่เสียสมาธิไปเพียงไม่กี่นาที แต่ความเสียหายถึงขั้นเสียประตู ส่วนแนวรุก สามารถสร้างความอันตราย แต่น่าเสียดายที่การเปลี่ยนตัวแบบรีบร้อน ทำให้เกมรุกเป็นอัมพาตจนต้องพ่ายแพ้ไป

ติดตามบทความเรื่อง ข่าวกีฬา ออกกำลังกาย และอุปกรณ์กีฬาได้ที่ ข่าวกีฬา
เวปไซด์ sportintrends.com

Facebook
Twitter