อัสซูรี่ เป็นรองทั้งเกม แต่แม่นโทษดับกระทิง 4-2 เข้าไปรอชิงทีมแรก

บอลยูโร 2020

ศึกฟุตบอลยูโร 2020 เดินทางมาถึงรอบรองชนะเลิศกันแล้ว โดยในคู่แรกเป็นการพบกันของ 2 มหาอำนาจในวงการลูกหนังยุโรปอย่าง ทีมชาติอิตาลี ที่ในทัวร์นาเมนต์นี้โชว์ฟอร์มได้สวยหรู กับ ทีมชาติสเปน ที่ออกสตาร์ทไม่ดี แต่มีแรงฮึดจนมาถึงรอบนี้ ส่วนในเรื่องของผังการเล่น ทั้ง 2 ทีมต่างใช้ระบบ 4-3-3 ด้วยกันทั้งคู่

          ในช่วงเริ่มเกม ทั้ง 2 ทีม ต่างเล่นเร็วจนบอลอยู่กลางสนามเป็นส่วนใหญ่ จากนั้นเมื่อเกมเริ่มเข้าที่ ก็กลายเป็นทีมชาติสเปน ที่ครองบอลบุกเข้าใส่ อีกทั้งยังมีจังหวะที่น่าจะได้ประตู แต่ความเฉียบคมทำให้สกอร์ไม่ขยับ ส่วนทางฝั่งของ ทีมชาติอิตาลี ยิ่งเล่นยิ่งต้องตั้งรับนานขึ้น เพราะแกะเพรสซิ่งไม่ค่อยออก จนจำเป็นต้องโยนไปยังที่ว่างระหว่างกองหลังกับผู้รักษาประตูที่ดันขึ้นมาสูง แต่น้ำหนักก็ยังไม่พอดี ทำให้ ซีม่อน ออกมาตัดและเก็บกวาดได้หมด

          ครึ่งหลัง ทีมอิตาลี ต้องแก้เกมผ่านการครองบอลที่ต้องชัวร์มากขึ้น เพื่อไม่ให้เสียบอลง่าย มิเช่นนั้นคู่แข่งจะตัดบอลกลับไปบุกและแย่งคืนลำบาก แต่ก็กระนั้นก็ยากอยู่ดี เพราะทีมชาติสเปน เมื่อตัดบอลได้ก็เอามาขึงบุกต่อรอบหลายนาทีอย่างที่คาด อย่างไรก็ดีด้วยจังหวะที่เป็นใจแล้วตัวเองก็ความเฉียบคม ทีมชาติอิตาลี จึงขึ้นนำไปก่อน 1-0 ในนาทีที่ 60 ซึ่ง 30 นาทีที่เหลือ มันชินี่ เหลือส่งตัวรับมาอุดประตูเพื่อรักษาสกอร์ ส่วนเอ็นริเก้ ส่งหน้าเป้าอาชีพอย่าง โมต้า ลงมา แล้วช่วยยิงตีเสมอ 1-1 จากจังหวะทำชิ่งและแทง ก่อนหลุดเข้าไปยิงมุมแคบ

          ในช่วงต่อเวลา ทีมชาติอิตาลี ต้องท่องไว้อย่างเดียวว่าห้ามเสียประตู เพราะในสนามมีแต่ตัวรับ (แนวรุกถูกถอดออกไปหมดแล้ว) ส่วนทางฝั่ง ทีมชาติสเปน เป็นต่อในเรื่องการมีตัวรุกที่เปลี่ยนลงมาในครึ่งหลัง แต่กระนั้นด้วยความเฉียบคมที่ไม่มากพอ จึงทำให้ฆ่าอัสซูรี่ ไม่ลง ทำให้เกมยื้อไปถึงจุดโทษ แล้วกลายเป็นทีมชาติอิตาลี ที่นิ่งและแม่นยำว่า

บทสรุปจากเกม ทีมชาติอิตาลี วันนี้เป็นรองอย่างเห็นได้ชัด เพราะต้องตั้งรับเกือบตลอดเกม ถึงกระนั้นด้วยวามความนิ่งและเฉียบคม ทำให้พลพรรคอัสซูรี่ ยันเสมอและมาชนะในช่วงดวลจุดโทษ ขณะที่ทางฝั่ง ทีมชาติสเปน วันนี้พวกเขาทำอะไรหลายๆอย่างได้เหนือกว่า แต่ความเฉียบคมที่เป็นปัญหามาตลอด คือ จุดตัดสินที่ทำให้พวกเขาต้องพ่ายแพ้ไป

ติดตามบทความเรื่อง ข่าวกีฬา ออกกำลังกาย และอุปกรณ์กีฬาได้ที่ ข่าวกีฬา
เวปไซด์ sportintrends.com

Facebook
Twitter