ห้ามลดน้ำหนักแบบนี้หากไม่อยากกลับไปอ้วนอีก

ลดน้ำหนัก

ปัญหาใหญ่ของการลดน้ำหนักไม่ได้อยู่ที่การลดน้ำหนักได้สำเร็จเพียงอย่างเดียว แต่การจะทำอย่างไรให้ความผอมของเรานั้นคงอยู่ไปตลอด หรือ ที่เรียกว่าไม่ทำให้เกิดอาการโยโย่เอ็ฟเฟ็คนั่นเอง ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่มักเกิดขึ้นกับคนที่ลดน้ำหนัก ไม่ว่าจะแบบลดด้วยการคุมอาหาร และการกินยาลดความอ้วน ซึ่ง 2 วิธีการลดความอ้วนแบบนี้แม้ว่าอย่างแรกคือการคุมอาหารนั้นจะไม่ใช่วิธีที่น่ากลัวอะไรมากมายเท่ากับ การกินยาลดความอ้วน แต่การลดความอ้วนทั้ง 2 แบบ มีผลมาจากสิ่งเดียวกันนั่นก็คือ เมื่อหยุดกิน และกลับไปกินปกติ น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นมาเหมือนกัน แต่กรณีของยาลดความอ้วนจะหนักกว่ามาก วันนี้เราจึงอยากมานำเสนอสิ่งที่ไม่ควรทำในการลดความอ้วน เพื่อไม่ให้กลับไปโยโย่อีก มีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลย

วิธีที่ไม่ควรทำในการลดน้ำหนัก

1 การกินยาลดความอ้วน เพราะสารในยาลดความอ้วนบางตัวจะเข้าไปในร่างกายทำให้เรารู้สึกไม่มีความอยากอาหาร ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบเผาผลาญของเราแย่ลง และส่งผลทำให้กินอะไรเข้าไปก็อ้วนขึ้นอย่างง่ายดาย เพราะเผาผลาญพลังงานไม่หมด

2 การอดอาหาร หากเราอดอาหารเป็นเวลานานร่างกายของเราจะทำการปรับเปลี่ยนระบบเผาผลาญในร่างกายเพื่อเซฟพลังงานเอาไว้ใช้ และเมื่อเรากลับมากินแบบปกติ แต่ระบบเผาผลาญในร่างกายของเรามันยังคงน้อยอยู่ ก็จะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานไม่ทัน และทำให้เกิดการสะสมพลังงานที่เผาผลาญไม่หมดเอาไว้ในร่างกายเราแทน 

3 การออกกำลังกายที่มากเกินไป เมื่อร่างกายเรารู้สึกว่าเราใช้พลังงานไปมากจนเกินขีดจำกัดไปเยอะแล้ว ร่างกายขอเราก็จะทำการลดการเผาผลาญพลังงานลงเพื่อที่จะได้เก็บกักพลังงานเอาไว้ให้มากที่สุด และพลังงานก็คืออาหารที่เรากินเข้าไปนั่นเอง

4 ไม่ตั้งความหวังที่เร็วเกินไป บางคนเลือกที่จะลดความอ้วน และตื่นเช้าชั่งน้ำหนักทุกวัน เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง จนมันเป็นการกดดันตัวเอง เมื่อแต่ละวันผ่านไปน้ำหนักยังคงเท่าเดิม ก็เริ่มเครียดและคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ และล้มเลิกที่จะลดความอ้วนไปในที่สุด คำแนะนำคือต้องตั้งเป้าหมายระยะยาว และ ทำอย่างช้า ๆ ไม่ดูที่น้ำหนักแต่เช็คที่รูปร่างของเราแทน

การลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนต้องใช้เวลาการจะลดน้ำหนักให้หุ่นดีและมีสุขภาพดีไปได้ตลอดนั้นมีปัจจัยหลายอย่างมาก ๆ สิ่งสำคัญก็คือเวลา หากทำอย่างช้า ๆ มั่นคง มันจะส่งผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

#ลดน้้าหนัก #ออกกำลังกาย #sportintrends.com

Facebook
Twitter