“2 นัด 10 ประตู” เรือใบ เปิดรังถล่มปืนใหญ่สิ้นซาก 5-0 ส่ง อาร์เซ่น่อล จมบ๊วย

เรือใบ

ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ 3 ประเดิมด้วยศึกบิ๊กแมตช์ ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่พึ่งคืนฟอร์มหรูด้วยชัยชนะแบบถล่มทลาย กับ อาร์เซน่อล ที่ยังไร้แต้มและประตู ใน 2 เกมแรก สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม เรือใบสีฟ้า มาในระบบ 4-3-3 ส่วนปืนใหญ่ปรับมาเป็น 5-4-1

เกมเริ่มต้นมาเป็น แมนซิตี้ ที่ครองบอลและขึงบุกใส่ได้ทันที โดยการต่อบอลไปมาก็มาได้ประตูนำ 1-0 อย่างรวดเร็วในนาทีที่ 6 ของเกม ซึ่งเป็นการเปิดจากฝั่งขวา แล้วแนวรับของอาร์เซน่อล เสียจังหวะจนกระโดดสกัดไม่ถึง จากนั้นนาทีที่ 11 ก็มาบวกเพิ่มเป็น 2-0 จากความผิดพลาดของกองหลังปืนใหญ่ที่เข้าไม่ถึงบอลเลยทั้ง 3 คน

อาร์เซน่อล ในเกมนี้ ได้แต่ตั้งรับแบบให้คู่ต่อสู้ได้เคาะบอลไปเรื่อยๆ ทำให้การชิงบอลมาครองมีน้อย อีกทั้งการครองบอลน้อยก็ไม่เกิดประสิทธิภาพ เพราะการเซตขึ้นมาจากหลังคิดช้า ทำช้า จนโดนบีบแย่งคืนไป พลางจะเร่งจังหวะก็รวนจนเสียเช่นกัน มิหนำซ้ำท้ายครึ่งแรกยังมาโดนใบแดงไล่ออกไปอีกคน แถมด้วยการโดนยิงทิ้งห่าง 3-0    

การออกมาเล่นครึ่งของ อาร์เซน่อล มีสภาพไม่ต่างจากเดิม แม้จะพยายามตั้งต้นตัวเองด้วยการครองบอล แต่การเสียบอลง่ายในแดนตัวเอง ทำให้ต้องกลับไปตั้งรับแล้วโดนเพิ่มอีก 2 ลูก เป็น 5-0 กระทั่งท้ายเกม อาร์เตต้า เลือกจะปรับแผนด้วยการเน้นรับ เพื่อไม่ให้เสียประตูไปมากกว่านี้

ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เจอกับคู่แข่งที่เปิดช่องและจุดอ่อนไว้มากมาย ซึ่งลูกทีมของเป๊บ ก็ไม่พลาดกับการโหมบุกเพื่อให้ได้ประตู อีกทั้งเกมโต้กลับของคู่แข่งก็ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้การบุกสามารถทำได้อย่างสบายใจ อย่างไรเสียปัญหาที่ต้องปรับ คือ การเล่นให้ละเอียดและรอบครอบ อาทิ จังหวะจ่ายพลาดของ เอแดร์ซอน ที่เกือบเข้าประตูตัวเอง ส่วนทางฝั่ง อาร์เซน่อล เกมรับจัดว่าย่ำแย่สุดๆ เพราะเมื่อเจอบอลโจมตีแนวทแยง ดันสกัดไม่โดนจนคู่แข่งยิงง่ายๆ เช่นกันกับการเจอบอลโยนก็ปล่อยให้คู่แข่งประโดดโขกบอลได้เกือบทุกครั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้มันเป็นรูปแบบพื้นฐานที่ต้องทำให้ได้ แต่ทีมระดับนี้กลับพลาดบรรลัยจนเกมขาดตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก ขณะที่เกมรุกไม่ได้โต้กลับแบบหวาดเสียวเลย ฉะนั้นถึงตรงนี้นับว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะทรงการเล่นแบบนี้มันไม่ใช่ทีมกลางตาราง หากแต่เป็นทีมจำพวกหนีตาย  

ติดตามบทความเรื่อง ข่าวกีฬา ออกกำลังกาย และอุปกรณ์กีฬาได้ที่ ข่าวกีฬา
เวปไซด์ sportintrends.com

Facebook
Twitter