ศึกฟุตบอลยูโร 2020 เราได้นำข้อมูลทุกแง่มุมมาแจกแจงไปแล้ว 4 กลุ่ม ว่าชาติต่างๆมีการเล่นแบบไหนและใช้ระบบอะไรในการต่อกรคู่แข่ง โดยในส่วนนี้เรามาดู 4 ทีม ในกลุ่ม E กันบ้าง ซึ่งแม้ว่าตามชื่อชั้นจะค่อนข้างขาด แต่เมื่อแข่งขันจริงกลับกลายเป็นได้ลุ้นเข้ารอบทุกทีม
ทีมชาติสวีเดน
ไวกิ้งยึดมั่นในระบบ 4-4-2 โดยเกมรับที่เหนียวแน่นนับเป็นจุดเด่นที่ทำให้ได้แต้มจาก สเปน และ สโลวาเกีย แม้ว่าในเกมกับ โปแลนด์ จะโดนลูบคมไป 2 ดอก แต่ก็มึฮึดยิงแซง จากนั้นในรอบ 16 ทีม พวกเขาก็ยังคงใช้มุขเดิม ซึ่งเกือบจะยื้อไปถึงจุดโทษ แต่ดันมาโดนหมัดน็อคจนพ่าย ยูเครน ไป
ทีมชาติสเปน
ก่อนยูโร 2020 จะเริ่ม มีปัญหาการเตรียมทีมเนื่องจากมีนักเตะติดโควิด-19 จากนั้น 2 นัดแรก เก็บได้ 2 คะแนน แถมยิงได้ประตูเดียว ทำให้โอกาสตกรอบสูงมาก แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยการถล่ม สโลวาเกีย จากนั้นในรอบน็อคเอาท์ผ่าน โครเอเชีย สวิตเซอร์แลนด์ แล้วมาตกรอบรองด้วยน้ำมือของ อิตาลี โดยการวางหมากของ หลุยส์ เอ็นริเก้ ในทุกๆเกมนับว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กระทิงดุ มาได้ไกลขนาดนี้ เพราะกุนซือผู้นี้ไม่มี 11 ตัวจริงที่ถาวรในระบบ 4-3-3 แต่จะเลือกใช้นักเตะตามสถานการณ์ของเกม ส่วนปัญหาสำคัญที่เห็นทุกนัด คือ ความเฉียบในการจบสกอร์ เพราะใช้โอกาสค่อนข้างเปลื้อง
ทีมชาติสโลวาเกีย
ขุนพลสโลวัคมาในสภาพทีมที่ไม่สมบูรณ์ผ่านระบบ 4-4-2 เพราะตัวเก๋าๆอำลาทีมไปเกือบหมด ยกเว้น ฮัมซิค ที่ยังไหวกับการลงสนามรับใช้ชาติ โดยความไม่สมบูรณ์ที่ว่านี้มันแสดงออกผ่านการทำเกมรุกที่ไม่มีมิติอะไร นอกจากเสียจากการโยนไปริมเส้นแล้วเลี้ยงไปให้ถึงหน้าประตูคู่แข่ง ส่วนเกมรับทำได้เหนียวแน่น แต่ในเมื่อความสมดุลไม่มี การเข้ารอบจึงไม่เกิด
ทีมชาติโปแลนด์
อินทรีแดง จัดเป็นชาติขาประจำในศึกยูโร โดยก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ พวกเขาถูกคาดการณ์ว่าจะตาม สเปน ผ่านเข้ารอบไป แต่แล้วการแพ้สโลวาเกีย แล้วเสมอสเปน ทำให้เกมสุดท้ายต้องชนะ สวีเดน แต่ก็มาพ่ายอีก กับการเสีย 2 ประตู ตั้งแต่ต้นเกม แม้เดอะแบกอย่าง เลวานดอฟกี้ จะยิงตีเสมอ แต่แนวรับก็ยังมาเสียประตูอีก ซึ่งความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้ การเข้ารอบต่อไปจึงหมดสิทธิ์
ติดตามบทความเรื่อง ข่าวกีฬา ออกกำลังกาย และอุปกรณ์กีฬาได้ที่ ข่าวกีฬา
เวปไซด์ sportintrends.com
